ขังครบ 48 วัน ลุงขโมยลูกชิ้นไปเลี้ยง 9 ชีวิต อัยการแจงขั้นตอน คาดปล่อยเย็นนี้

ขังครบ 48 วัน ลุงขโมยลูกชิ้นไปเลี้ยง 9 ชีวิต อัยการแจงขั้นตอน คาดปล่อยเย็นนี้ เผยหากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่ให้การ จะเข้าเงื่อนไขการออกคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

วันที่ 12 ก.ค. 67 นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงถึงกรณีความคืบหน้าคดีจับชายขโมยลูกชิ้นถุงเดียว ไปเลี้ยงครอบครัว 9 ชีวิตว่า

ได้รับรายงานจากสำนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ว่า พนักงานสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ ส่งสำนวนกล่าวหา นายบุญเที่ยง อายุ 50 ปี โดยมีความเห็นควรฟ้องข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ 2 ข้อหา ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดจริง แต่กระทำไปด้วยความยากจน โดยนำลูกชิ้นไปประกอบอาหารให้บิดาอายุ 88 ปี ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ กับมารดาอายุ 89 ปี ป่วยติดเตียงด้วยโรคไต และต้องเลี้ยงดูครอบครัวหาเช้ากินค่ำ มีบุตรอีก 4 คน คนเล็ก อายุ 5 ขวบ ภรรยา 1 คน พี่อีก 1 คน รวม 9 คน ได้กินเป็นอาหาร

นายนาเคนทร์ กล่าวว่า หากอัยการจังหวัดบุรีรัมย์พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่ให้การจะเข้าเงื่อนไข การออกคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แต่เพื่อความรอบคอบจึงสั่งให้พนักงานสอบสวนไปสอบฝ่ายผู้เสียหายถึงความเสียหายที่ได้รับ และพยานแวดล้อมเกี่ยวกับความเป็นอยู่ในครอบครัวผู้ต้องหาว่าเป็นจริงตามที่ให้การหรือไม่ โดยสอบสวนให้เสร็จภายใน 15 วัน นับจากวันนี้ ส่วนผู้ต้องหาได้ขังมาครบกำหนด 48 วัน ตามคำสั่งศาลจึงต้องปล่อยตัวไป

“การสั่งไม่ฟ้องคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นไปตามมาตรา 21 พ.ร.บ.องค์กรอัยการปี 53 ที่ว่า ถ้าอัยการเห็นว่าการสั่งฟ้องผู้ต้องหาจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ หรือกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือกระทบผลประโยชน์สำคัญของประเทศ ให้อัยการจังหวัดเสนออธิบดีอัยการภาคเสนออัยการสูงสุดออกคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง และคำสั่งนี้เป็นที่สุด”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตอนนี้นายบุญเที่ยง อายุ 50 ปี ถูกฝากขังมา 4 ผัดแล้ว หรือจำนวน 48 วัน โดยคาดในวันนี้น่าจะได้รับการปล่อยตัว

คดีดราม่าลุงธงลักลูกชิ้นยืนกิน ทอดให้ลูก-แบ่งพ่อแม่ติดเตียงกิน ด้านอัยการสั่งสอบเพิ่มอาจเข้าข่ายเป็นคดีที่ฟ้องไม่เป็นประโยชน์ ล่าสุดสภาทนายฯ ส่งตัวแทนลงพื้นทีีเข้าตรวจสอบพร้อมให้ความช่วยเหลือ

จากกรณีเจ้าของบริษัทผลิตลูกชิ้นยืนกิน ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ นำคลิปวงจรปิดไปแจ้งความต่อ ร.ต.อ.สุพจน์ ตึกกระโทก รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองบุรีรัมย์ ว่าได้ถูกบุคคลในคลิปวงจรปิดขโมยลูกชิ้นที่วางไว้หน้าร้าน จำนวน 1 ถุง จากที่วางไว้ 2 ถุง มูลค่าประมาณ 300 บาท ต่อมาตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมือง สามารถจับกุม นายบุญเที่ยง หรือ ธง อายุ 50 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ บุคคลในคลิปวงจรปิดมาสอบสวน โดยนายบุญเที่ยงให้การรับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุจริง สาเหตุที่ขโมยเพราะเห็นลูกชิ้นวางอยู่หน้าร้านไม่มีใครเฝ้า และร้านปิดแล้ว จึงเดินเข้าไปหยิบเอา ยอมรับว่าหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวไม่ทัน ลูกชิ้นที่ได้ไปเอาไปทอดเป็นกับข้าวให้ลูกกิน ส่วนหนึ่งเอาไปฝากพ่อกับแม่ที่ป่วยอยู่

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยว่า ทางอัยการจังหวัดได้สั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบเพิ่มเติมตาม ป.วิอาญา มาตรา 143 ในข้อเท็จจริงและเหตุจูงใจในการกระทำผิด ซึ่งทำให้ฟ้องไม่ทันกำหนดฝากขัง 4 ผลัด 48 วันได้ ซึ่งส่งผลให้ต้องปล่อยตัวนายบุญเที่ยงไปก่อน ทั้งนี้ หากการพิจารณาได้ความว่าการกระทำของนายบุญเที่ยงทำไปเพราะยากจนแสนเข็ญ ไม่เคยมีประวัติอาชญากรมาก่อน ก็อาจเข้าข่ายเป็นคดีที่ฟ้องไปไม่เป็นประโยขน์ ซ้ำผู้ต้องหาถูกขังมานานพอแล้ว จึงสามารถสั่งไม่ฟ้องก็เป็นไปได้ และเป็นอำนาจของอัยการสูงสุดเท่านั้นที่จะสั่งคดีนี้ตาม พ.ร.บ.อัยการมาตรา 21

ด้าน ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เผยว่า ติดตามเรื่องนี้มาตลอด เห็นว่าเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ จึงได้มอบหมายให้ ทนายจักรกฤษณ์ ยางนอก ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ ประสานงานไปยังฝ่ายปกครอง อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ และมอบหมายให้ ทนายวุฒิกาญจน์ กุลสุวรรณ ประธานสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ ไปประสานศาลจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อทราบข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับกรณีนายบุญเที่ยงถูกคุมขังในคดีโดยยังไม่ได้รับการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งได้ความพอสรุปว่าศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว และกำหนดให้ต้องมีผู้กำกับดูแลหรือญาติมาทำสัญญาปล่อยตัวด้วย เพราะหากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแล้วไม่มาศาล หรือหลบหนีจะต้องชำระเงินจำนวน 75,000 บาท ซึ่งนายบุญเทียงไม่อาจหาผู้กำกับดูแล หรือหาหลักประกันได้ และตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยยื่นประกันตัวอีก จึงถูกขังมาตลอด

ดร.วิเชียรกล่าวว่า ทราบว่าพรุ่งนี้ครบฝากขังพอดี ดังนั้น ในวันพรุ่งนี้จะมอบหมายให้ นายวิทยา วัฒนะ ประธานสภาทนายความจังหวัดนางรอง ไปพบนายบุญเที่ยง ที่เรือนจำนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ (เรือนจำบุรีรัมย์ไฟไหม้ซ่อมแซม) เพื่อให้การช่วยเหลือทางกฎหมายและความเป็นอยู่ต่อไป

“เรื่องนี้เป็นกรณีที่สภาทนายความสามารถให้ความช่วยเหลือโดยความปรากฏแก่สภาทนายเองว่าผู้ต้องหาเป็นคนยากจนด้อยโอกาส ขาดที่ปรึกษากฎหมาย อีกทั้งความผิดเกิดจากความหิวเป็นปัญหาปากท้อง สภาทนายสังเกตการณ์จากข่าวมาสองวันแล้วจึงต้องเข้าช่วยเหลือ” ดร.วิเชียรกล่าว